ไทยพลัสนิวส์ Assassin’s Creed: Mirage ย้อนตำนานนักฆ่า

 ไทยพลัสนิวส์ Assassin’s Creed: Mirage ย้อนตำนานนักฆ่า

ไทยพลัสนิวส์ Assassin’s Creed: Mirage ย้อนตำนานนักฆ่า Assassin’s Creed: Mirage เกมนักฆ่าที่ย้อนกลับไปเน้นลอบฆ่าเหมือนภาคเก่า ในยุคแรก จากที่ก่อนหน้าเหมือนกับว่าการลอบฆ่า เป็นเพียงสิ่งที่ทำได้ แต่จะไม่ทำก็ได้ ในภาคนี้นั้น เราจะได้ลอบฆ่าเป็นหลัก


ไทยพลัสนิวส์ Assassin's Creed: Mirage ย้อนตำนานนักฆ่า

Assassin’s Creed: Mirage ย้อนตำนานนักฆ่า

ภาคนี้เป็นเนื้อเรื่องเสริมจาก Assassin’s Creed : Valhalla ที่แตกแขนงออกมาเป็นภาคหลัก เปลี่ยนจากที่วางแผนไว้ตอนแรกว่าจะเป็น Dlc ของภาค Valhalla โดยมี Basim Ibn Ishaq ตัวละครหลักจากภาค Valhalla เป็นตัวดำเนินเรื่อง แต่ถ้าไม่เคยเล่นมาก่อน จะเริ่มภาคนี้เป็นภาคแรก ก็เข้าใจไม่ยากเลยนะครับ ค่อนข้างเสพง่ายกว่าภาค ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ ภาคนี้จะไม่มีการกลับสู่ปัจจุบัน หรือ ออกจาก Animus เลย จะโฟกัสที่ตัว Basim อย่างเดียวเลย 


ถ้าใครได้เล่นภาค Valhalla มาก่อน ก็จะรู้ว่าตัว Basim นั้นไม่ได้เป็นเพียงนักฆ่าดาด ๆ ธรรมดาทั่วไป โดยภาคนี้จะเริ่มจากสมัยที่ Basim ยังอยู่ที่กรุงแบกแดด (ประเทศอิรัก) ตัวเขาในวัยหนุ่มที่ยังเป็นโจรข้างถนนผู้มีความฝัน เป็นการเล่าเรื่องจุดเริ่มต้นของเขา ว่าจากโจรข้างถนนกลายเป็นยอดนักฆ่ามากฝีมือ ได้ยังไง โดยที่ตัวเขายังไม่ลืมกำพืดของโจร บ่อยครั้งนักที่จะต้องอาศัยฝีมือของโจรควบคู่ ไปกับการจารกรรม ในการทำภารกิจ หรือ บางทีก็แค่ขโมย เพราะ อยากได้นั่นแหละ 


Assassin’s Creed: Mirage ย้อนตำนานสุดยอดนักฆ่า 

เป้าหมายหลักของภาคนี้ ยังคงเป็นองค์กรลับ Order of the Ancient เหมือนเคย และ ยังคงรูปแบบไล่จากเบาะแส จนสืบสาวไปสู่เบื้องหลังของคนบงการเหมือนภาคก่อน โดยที่ระหว่างทำภารกิจไปเรื่อย ๆ ตัว Basim ก็ได้พบคำตอบที่ช่วยไขปริศนา เบื้องหลังฝันร้ายของเขาเองด้วย 


Gameplay 

เกมภาคนี้จะตัดระบบของภาคก่อนหน้าไป เกือบหมดทุกอย่าง ทั้งระบบเลเวล และ ระบบล่าสัตว์ รวมถึงระบบCombatที่ตัดความสามารถอันหลากหลาย ในการต่อสู้ระยะประชิด เหลือเพียงความสามารถเสริมในอุปกรณ์สวมใส่ ที่ไม่ได้เสริมจนเว่อวัง เช่น ดาบที่ฟันไปแล้วจะติดพิษ มีดที่ตีครบ 5 ทีจะดูดเลือด ชุดที่ใส่แล้วลดเสียงของตัวละคร เป็นต้น โดยเราไม่สามารถปะทะ ทหารทั้งค่ายได้ง่าย ๆ เหมือนภาคก่อนหน้า แต่จะเน้นไปที่การลอบฆ่ามากขึ้น เป็นเหมือนเกมภาคเก่า ๆ แต่ยังคงความอิสระเหมือนภาคใหม่ ๆ โดยเราสามารถติดสินบนคนพื้นที่เพื่อหาข้อมูล หรือ ช่วยดึงความสนใจ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการลักลอบและหลบหนีจากสถานที่ได้ด้วย 


ระบบสกิลของภาคนี้เกือบทั้งหมดช่วยเสริมทักษะการลอบฆ่า และ ความสามารถของอุปกรณ์เสริม ทำให้ตัวละครพลิกแพลงวางแผน และ สนุกกับการลอบฆ่าได้มากขึ้น แต่เมื่อใดที่แผนการลักลอบแตกขึ้นมาก็จะทำให้ลำบากเล็กน้อย เพราะ การต่อสู้ระยะประชิด ตัวละครทำได้แค่กด Parry และ หลบซึ่งเมื่อโดนรุมเวลาที่ศัตรูฟัน เข้ามาพร้อมกันตัวละคร เราไม่สามารถตั้งรับได้ทั้งหมด กด Parry จะใช้การแทบไม่ได้เลย ทำให้การต่อสู้เพียว ๆ ไม่ราบลื่นนักจึงทำให้รู้สึกเหมือน ว่าการต่อสู้นั้นเป็นตัวเลือกสุดท้ายจนมุมแล้วต้องสู้แล้วแหละแต่เราสามารถพลิกแพลงกับอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยเอาตัวรอดได้ไม่ยากนัก 


สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในภาคนี้ ก็คือ ระบบค่าหัว โดยเมื่อเราฆ่าให้ประชนชนคนทั่วไปเห็น เราจะโดนแถบสีแดงด้านขวาล่างขึ้นมาว่า ตอนนี้เรากำลังโดนไล่ล่านะ ทีนี้ไม่ว่าวิ่งไปไหน ก็จะโดนประชาชน คอยตะโกนบอกทหารว่า คนร้ายอยู่นี่ กลายเป็นว่าได้วิ่งหนีไม่หยุด ยกเว้นว่าเราจะไปไล่ฉีก ใบประกาศจับ หรือสินบนเพื่อลบค่าหัวทิ้งนั่นเอง หรือ ว่าถ้ามั่นใจมาก ๆ พอหลอดสีแดงเต็มเรา ก็จะโดนนักฆ่าของทางการที่ค่อนข้างเก่งมาไล่ล่า ถ้าเราสามารถฆ่าเขาได้ ค่าหัวเราก็จะหมดไปเช่นกัน และ ในทางกลับกัน ถ้าเราสามารถวางแผนฆ่าได้โดยไม่มีใครเห็น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั่นเอง 


Graphic 

ในส่วนของกราฟิกนั้น ต้องบอกว่าเหมือนเดิมเลยครับ ไม่ได้มีการพัฒนาจากเดิม Engine ตัวเดิม ฟีลลิ่งเดิม แค่เปลี่ยนธีมเฉยๆประมาณนั้น แต่ในอีกแง่เค้าก็รักษามาตรฐานและรูปแบบของเกมไว้ได้ เลยถ้าเป็นนักชมวิว ชอบดู Landscape สวย ๆ ก็สามารถเดินสำรวจได้เพลินๆครับ เพียงแต่ในกรุงแบกแดดนั้นอาจจะไม่ค่อยมีความน่าสนใจในตัวเมืองเท่าไรหรือเพราะรูปแบบเมืองกลางทะเลทรายนั้นมันซ้ำกับภาคก่อนหน้ารึเปล่านะ เลยรู้สึกไม่ประทับใจเท่าที่ควร 


Conclusion 

หลังจากเล่นจบและเก็บครบทุกอย่างก็จะขอสรุปว่าประสบการณ์การเล่นในภาคนี้ค่อนข้างดีขึ้นเล่นได้ลื่นไหลไม่เจอบั๊กเลยในวันแรก ถ้าเป็นปกติเล่นวันแรก ๆ อาจจะพบบั๊กได้ประปราย แต่เล่นยันจบยังไม่เจอเลยครับ ภาคนี้เนื้อเรื่องเล่าได้กระชับ เนื้อเรื่องย่อยง่ายกว่าภาคก่อนหน้าพอสมควร เพราะ ภาคก่อนหน้านั้นเนื้อเรื่องยืดยาวซับซ้อน และ แผนที่ใหญ่เกินความจำเป็นแล้วดันใหญ่เฉย ๆ แต่ไม่มีอะไรในนั้น 


ภาคนี้เราจะโฟกัสแค่เพียงแผนที่เดียว ที่ไม่ได้ใหญ่มาก (ถ้าเทียบกับภาคก่อนหน้า) แต่อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดในนั้น ผู้เขียนใช้เวลาเล่นไป23ชั่วโมง ในการเก็บครบทุกอย่าง (รวมถึงถ้วย Achievement ครบทุกถ้วย) อาจจะรู้สึกว่าสั้นไปหน่อยแต่อาจเป็น เพราะ เปรียบเทียบนั่นแหละเพราะบอกตรง ๆ ว่าภาคก่อนหน้ามันยืดยาวจนแอบทำให้รู้สึกว่า เมื่อไรจะจบสักที 


และนี่ Assassin’s Creed: Mirage ย้อนตำนานสุดยอดนักฆ่า   

โดยรวมไม่ผิดหวังครับ แต่ไม่ได้รู้สึกประทับใจที่สุด ในแง่เกมเพลย์ยังสนุกเพลิดเพลิน ถ้าเล่นมาทุกภาคอาจจะรู้สึกว่าซ้ำซากจำเจไปบ้าง และ เพราะภาคนี้ไม่มีจุดพีกทำให้ตราตรึงใจ ไม่หวือหวา รวมถึงการสู้บอส ที่มีแค่รอบเดียว และหลังเล่นจบก็แทบไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว ทำให้รู้สึกเหมือนขาดไปบ้างเหมือนกันก็ต้องรอดูต่อไปว่าทาง Ubisoft นั้นจะนำ feedback จากภาคนี้ไปพัฒนาต่อให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มั้ยในภาคต่อไปในอนาคต 


อ้างอิง sanook




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมืองสกาเกน (Skagen) เมืองแห่งการผสมกันของน้ำทะเล

เมืองโอเดนเซ (Odense) เมืองแห่งประวัติศาสตร์ของเดนมาร์ก

ไทยพลัสนิวส์ กีตาร์โปร่งสำหรับมือใหม่ ต้องมีอุปกรณ์อะไรบ้าง?