ไทยพลัสนิวส์ พาไปรู็จักกับ โรคเกาต์

 ไทยพลัสนิวส์ พาไปรู็จักกับ โรคเกาต์

ไทยพลัสนิวส์ พาไปรู็จักกับ โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยเกิดขึ้นได้ในทุกเพศและทุกวัย ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการปวดที่เกิดขึ้นเร็ว บวมแดง และแสบร้อนข้อต่อในร่างกาย


โรคเกาต์

โรคเกาต์ คือโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยเกิดขึ้นได้ในทุกเพศและทุกวัย ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการปวดที่เกิดขึ้นเร็ว บวมแดง และแสบร้อนข้อต่อในร่างกาย แต่โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่ข้อนิ้วหัวแม่เท้า โรคเกาต์สามารถกำเริบขึ้นได้ทุกเวลาซึ่งทำให้ตื่นกลางดึกด้วยความปวดร้อนบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าเหมือนถูกไฟลวก ความรุนแรงของอาการโรคเกาต์อาจมีสลับหนักเบา อย่างไรก็ตามมีวิธีจัดการและป้องกันอาการเหล่านี้ได้


อาการที่พบได้

ข้อที่อักเสบจากโรคเกาต์จะร้อนและปวดรุนแรง จนไม่สามารถทนแม้แต่แรงกดจากน้ำหนักของผ้าปูที่นอน อาการเจ็บปวดมักจะรุนแรงในช่วง 4-12 ชั่วโมงแรก ส่งผลให้เคลื่อนไหวขยับข้อได้ค่อนข้างจำกัด ผิวหนังบริเวณข้อมีสีแดงและแวววาวขึ้น เนื้อเยื่อรอบข้อบวมขึ้น


อาการปวดข้ออาจเกิดขึ้นตั้งแต่ 2-3 วันจนถึง 2-3 สัปดาห์และจะค่อย ๆ ทุเลาลงตามลำดับ ซึ่งอาการที่กำเริบซ้ำในอนาคตมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นและเกิดในข้ออื่นได้เพิ่มขึ้น


ควรพบแพทย์เมื่อไร

หากเกิดอาการเจ็บปวดอย่างฉับพลันบริเวณข้อต่อใดก็ตามควรพบแพทย์โดยเร็ว ทั้งนี้ โรคเกาต์ที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจทำให้ผู้ป่วยไม่สุขสบายและข้อต่อถูกทำลายให้เสียหายได้ และหากพบว่ามีไข้ แสบร้อนและบวมแดงบริเวณข้อต่ออาจเป็นจากการติดเชื้อในข้อได้ ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อจำกัดความเสียหายต่อข้อนั้น


สาเหตุ

การสะสมตัวของกรดยูริกในกระแสเลือดส่งผลให้เกิดโรคเกาต์ได้ ร่างกายสร้างกรดยูริกจากการสลายตัวของสารเพียวรีนในอาหารและเครื่องดื่มที่รับประทานและจากแหล่งภายในร่างกายเอง อาหารที่มีสารเพียวรีนสูงได้แก่ เนื้อแดง เครื่องใน เช่นตับ และอาหารทะเล เช่น เคย ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ หอยเชลล์ ปลาเทราต์ และปลาทูน่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลฟรุกโตสจะเพิ่มระดับกรดยูริกในร่างกายได้


ปกติร่างกายจะขับกรดยูริกออกทางไตผ่านทางปัสสาวะ เมื่อร่างกายสร้างกรดยูริกมากเกินไป หรือขับออกทางไตได้น้อยเกินไป


ระดับกรดยูริกในเลือดจะสูงขึ้น จนเกิดการตกผลึกของกรดยูริกภายในข้อต่อได้ ผลึกที่มีรูปร่างคล้ายเข็มเหล่านี้เป็นสาเหตุของการเป็นโรคเกาต์ อย่างไรก็ตามกรดยูริกที่สูงเกินมาตรฐานอาจไม่ทำให้เกิดโรคเกาต์เสมอไป ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละบุคคล


ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค

ระดับกรดยูริกในร่างกายที่สูงเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะมีโอกาสเป็นโรคเกาต์ได้มากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารเพียวรีนสูงรวมทั้งเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ผู้ชายมี่ความเสี่ยงเกิดโรคเกาต์มากกว่าสตรี 4-10 เท่า


การมีน้ำหนักเกินมาตรฐานส่งผลให้ร่างกายสร้างกรดยูริกเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นโรคเกาต์ได้เร็วขึ้นในอายุน้อย โอกาสเป็นโรคเกาต์สูงขึ้นในคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน กลุ่มอาการทางเมตาบอลิซึม โรคหัวใจและ โรคไต ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเกาต์


โรคเกาต์

ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยโรคเกาต์อาจมีปัญหาที่รุนแรงตามมา เช่น เป็นโรคเกาต์ที่กำเริบขึ้นซ้ำ ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ยาอาจป้องกันการเกิดโรคเกาต์ซ้ำ ๆ ได้ แต่หากละเลยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ข้อต่อถูกกันกร่อนทำลายจนเกิดความเสียหายที่รุนแรงได้ นอกจากนี้อาจมีการสะสมของผลึกยูเรต ใต้ผิวหนังเป็นก้อนที่เรียกว่า Tophi ซึ่งก้อน Tophi สามารถพบได้ทั้งบริเวณนิ้ว มือ เท้า ข้อศอก และเอ็นร้อยหวายหลังข้อเท้า โดยทั่วไปแล้วก้อน Tophi ใม่มีอาการเจ็บ แต่อาจเกิดอาการบวมและเจ็บขึ้นเมื่อโรคเกาต์กำเริบ


การวินิจฉัยโรค

หากมีอาการที่รุนแรง แพทย์อาจวินิจฉัยให้ทำการรักษาโดยใช้เข็มเจาะบริเวณข้อต่อที่มีอาการเพื่อนำของเหลวออกโดยตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์

การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือด

การเอ็กซเรย์ข้อต่อเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ของการอักเสบ

การตรวจด้วยอัลตราซาวนด์จะช่วยตรวจจับผลึกเกลือยูเรตในข้อต่อได้

การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ DECT (Dual energy CT scan) ประกอบภาพเอ็กซ์เรย์จากมุมต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อวิเคราะห์ผลึกเกลือยูเรตในข้อต่อ


การรักษา

ยารักษาโรคเกาต์มี 2 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีเป้าหมายในการรักษาที่แตกต่างกัน


ยาประเภทแรกช่วยลดการอักเสบและความรู้สึกไม่สบายตัวที่มาพร้อมกับโรคเกาต์

ยาประเภทที่สองช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเกาต์โดยลดระดับกรดยูริกในเลือดให้สมดุล

ทั้งนี้ชนิดยาที่ควรรับประทานนั้นขึ้นอยู่กับความถี่และความรุนแรงของอาการที่เป็น


การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการดูแลรักษาตัวที่บ้าน

การรักษาด้วยยาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษาโรคเกาต์ รวมถึงการป้องกันอาการกำเริบซ้ำ อย่างไรก็ตามการปรับวิถีชีวิตประจำวันก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่เป็นปัญหา เช่น ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รวมถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทรายและน้ำตาลฟรุกโตส และควรดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น


การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์

แพทย์อาจจะถามคำถามดังต่อไปนี้

มีอาการอย่างไรบ้าง

มีอาการเหล่านี้ครั้งแรกเมื่อไร

อาการเหล่านี้เป็น ๆ หาย ๆ หรือเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน

มีอะไรที่ส่งผลให้อาการแย่ลงหรือไม่ เช่น อาหารหรือความเครียด

มีโรคประจำตัวอื่นที่ต้องได้รับการรักษาหรือไม่

มีญาติหรือคนในครอบครัว เช่น พ่อแม่ หรือ พี่น้องเป็นโรคเกาต์หรือไม่

ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ถ้าดื่ม ดื่มบ่อยแค่ไหน

อ้างอิงจาก medparkhospital





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมืองสกาเกน (Skagen) เมืองแห่งการผสมกันของน้ำทะเล

เมืองโอเดนเซ (Odense) เมืองแห่งประวัติศาสตร์ของเดนมาร์ก

ไทยพลัสนิวส์ กีตาร์โปร่งสำหรับมือใหม่ ต้องมีอุปกรณ์อะไรบ้าง?